วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ความผูกพัน


พี่อัญญานักเรียนชั้นอนุบาล ๓ ที่เพิ่งเข้าเรียนใหม่ในโรงเรียนกาละพัฒน์ ของภาคเรียนที่ ๒ ซึ่งผ่านมา ๕ สัปดาห์
แต่ก่อนนั้นพี่อัญญาจะไม่ชอบไปโรงเรียนเลย ส่วนใหญ่จะอยู่บ้านกลับคุณแม่

จนกระทั่งเข้าเรียนโรงเรียนกาละพัฒน์ พี่อัญญาชอบมาโรงเรียนทุกวัน ไม่เคยขาดเรียนเลยสักครั้ง

ดังเหตุการณ์วันนี้ ตอนรับประทานอาหารกลางวัน คุณพ่อคุณแม่มาขออนุญาตรับลูกกลับบ้านก่อน
เพราะคุณพ่อคุณแม่จะไปทำธุระในตอนบ่าย เมื่อพี่อัญญาทราบว่าตนเองจะไม่ได้อยู่กับเพื่อนๆ แล้ว
จึงขอให้คุณครูช่วยบอกเพื่อนด้วย

พอรับประทานอาหารเสร็จ พี่อัญญาก็เดินโบกมือลาเพื่อนที่ละคน
ด้วยการเรียกชื่อ มองตา และโบกมือ ทำอย่างนี้กับทุกๆ คน
จากนั้นก็เดินไปบอกคุณครูก่อนกลับกับคุณพ่อคุณแม่

ท่าทางที่แสดงออกมา บ่งบอกถึงความรักและความผูกพันที่ทุกคนมีให้แก่กันและกัน
เป็นมิตรภาพในสังคมเล็กๆ ที่มีแต่ความปรารถนาดีต่อกันด้วยความจริงใจ

การเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง

วันหนึ่งพี่ๆ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ชวนกันทำอาหารรับประทานเอง โดยไม่ให้คุณป้าแป๋ว(แม่ครัว)เตรียมอาหารกลางวันให้


ข้อตกลงที่ทุกคน(ครูและเด็ก)ได้ช่วยกันสร้างขึ้นมา มีอยู่ว่า

- หาวัตถุดิบที่มีในโรงเรียนกาละพัฒน์เท่านั้น

- จะไม่ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าในการเตรียมอาหาร

- อาหารทุกอย่างทุกคนช่วยกันเตรียม

- ทุกคนได้รับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน


เมื่อได้ข้อตกลงเรียบร้อยแล้ว ครูก็สื่อสารให้ผู้ปกครองทราบถึงเป้าหมายและวิธีการจัดกระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้

จากนั้นก็เริ่มกระบวนการเรียนรู้ด้วยการลงมือปฎิบัติจริง

ครูและเด็กช่วยกันขุดมันเทศ ที่ปลูกข้างขุมเหมือง


ชวนกันเก็บผักในโรงเรียน












ช่วยกันปรุงอาหาร พร้อมสำหรับรับประทาน






คำกล่าวขอบคุณก่อนกินข้าว

ข้าวเอ๋ยข้าวสุก ต้องกินทุกบ้านทุกฐานถิ่น
กว่าจะมาเป็นข้าวให้เรากิน
ชาวนาสิ้นกำลัง เกือบทั้งปี
ต้องทนแดดทนฝนทนลมหนาว
กว่าจะได้ข้าวจากนามาถึงนี่
คนกินข้าวควรคิดดูให้ดี
ว่าผู้มีคุณแก่เราคือชาวนา
ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง
อย่ากินทิ้งขว้าง เป็นของมีค่า
ผู้คนอดอยาก มีมากหนักหนา
สงสารบรรดา เด็กไม่มีกิน
ขอบคุณพ่อแม่ที่ให้กำเนิดเรามา
ขอบคุณโลกที่ได้ให้เราอาศัยอยู่
ขอบคุณทุกคนที่ให้หนูได้รับประทานอาหารในมื้อนี้
หนูจะรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
ขอบคุณครับ/ค่ะ

คำกล่าวเหล่านี้เพิ่งเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ในวันที่ได้ลงมือทำและสัมผัสเอง

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ความรับผิดชอบร่วม



ตอนสมัยเป็นเด็กๆ คุณยายเคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนคุณยายไม่ได้ไปเรียนที่โรงเรียนเหมือนทุกวันนี้ ทุกอย่างเรียนรู้อยู่ที่บ้านหรือวัดโดยมีพระเป็นผู้สอนหนังสือ ดังนั้นวัดจึงเป็นศูนย์รวมทุกคน ทั้งเด็กและผู้ปกครอง บนพื้นฐานแห่งความดีงาม

พอผ่านมารุ่นคุณพ่อคุณแม่เริ่มมีโรงเรียน ทุกคนมุ่งไปที่โรงเรียนมีคุณครูเป็นผู้สอนหนังสือ ต้องท่องจำบทเรียนทั้งหมดที่มีอยู่ในตำรา จากนั้นก็สอบวัดความรู้ทั้งหมดที่ท่องมาจากตำราเพียงแค่ครั้งเดียว แล้วก็นำคะแนนที่ได้มาตัดสิน เปรียบเทียบและจัดอันดับผู้เรียน เด็กๆ ที่ท่องตำราได้ทั้งหมดได้รับความภาคภูมิใจและคิดว่าตนเองเก่ง ส่วนคนที่ทำไม่ได้กลับรู้สึกแย่ ท้อแท้ ขาดความมั่นใจและได้รับการตีตราว่าโง่ จากนั้นคุณครูก็ส่งใบคะแนนนั้นไปให้ทางบ้านเพื่อให้ทุกคนรับรู้ว่าผลการเรียนของลูกเป็นอย่างไร โดยไม่มีทางได้รับรู้ว่า แต่ละวันที่โรงเรียนลูกทำอะไร ทำอย่างไรและลูกเป็นอย่างไร มารับรู้อีกครั้งตอนที่ได้รับผลการเรียนจากทางโรงเรียน การศึกษาให้คุณค่าที่คะแนนมากกว่าการพัฒนาความเป็นมนุษย์ ทุกคนจึงพยายามดิ้นรน ไขว่คว้าและวิ่งหาคะแนนเหล่านั้น

จากบทเรียนที่ผ่านมาจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่น ทำให้การศึกษาต้องหันกลับมาทบทวนกระบวนการทำงานระหว่างบ้านและโรงเรียน ทั้งสองส่วนต้องทำงานด้วยกัน เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างแท้จริงและต่อเนื่อง

ทำไมโรงเรียนกาละพัฒน์จึงให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับผู้ปกครอง
เนื่องจากทางโรงเรียนต้องการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ซึ่งประกอบไปด้วย
- ความฉลาดทางด้านจิตวิญญาณ(SQ)และความฉลาดทางด้านอารมณ์(EQ)
- ความฉลาดทางด้านปัญญาการคิด(IQ)
- ความฉลาดทางด้านร่างกาย(PQ)

ซึ่งการปฏิบัติในวิถีโรงเรียนจะต้องทำอย่างมีความหมาย มีเหตุผลและคงเส้นคงวา ในขณะเดียวกันโรงเรียนยังต้องตระหนักอยู่เสมอว่าผู้ปกครองทุกคนมีส่วนเกื้อกูลต่อความก้าวหน้าของเด็ก การสร้างความเข้าใจอย่างต่อเนื่องด้วยวิธีการที่หลากหลาย จะช่วยให้ผู้ปกครองเห็นความสำคัญต่อการพัฒนาในเชิงจิตวิญญาณซึ่งเป็นสิ่งนามธรรม ในที่สุดผู้ปกครองจะเข้ามามากขึ้น พร้อมที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนในโรงเรียน เมื่อผู้ปกครองได้เรียนรู้วิถีชุมชนจากบทเรียนที่เกิดขึ้นจริงภายในโรงเรียน ผู้ปกครองก็จะนำกลับไปสู่ชุมชนจริงของตนเอง

การศึกษาคือความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างบ้านและโรงเรียน

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เรียนรู้ผ่านการเล่น

เช้า กลางวันและเย็น จะเห็นคุณครูทุกคนเล่นอยู่กับเด็กๆ บางก็ชวนกันเล่นวิ่งไล่จับ บางก็เล่นกีฬาด้วยกัน บางก็เล่นทราย เล่นขายของ

ทำไมคุณครูต้องเล่นกับนักเรียน

เพราะการเล่นเป็นสิ่งที่เด็กๆ ทุกคนชื่นชอบ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายทางความคิด มีอิสระในการแสดงออก อีกทั้งลดช่องว่างระหว่างครูกับเด็ก สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ครูจะได้เข้าใจและเห็นคุณค่าเด็กแต่ละคน ด้วยการเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะมีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่สามารถถ่ายทอดความเป็นมนุษย์สู่มนุษย์ได้














ความสัมพันธ์แนวราบระหว่างครูกับเด็ก จะลดความกลัวที่เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ของทั้งครูและเด็ก



......ไม่ง้อพี่เต่าทอง....


เช้าวันที่ 25 พ.ย 54 ครูแทน ซินเซีย มุกดา เดินชมสวนห้องพวงชมพูที่เคยได้ปลูกดอกไม้ด้วยกัน อยู่ๆ ก็เห็น เต่าทองตัวใหญ่


ครูแทน: เด็ก ๆ มาดูพี่เต่าทองต้วใหญ่ ค่ะ น่ารักจังเลย


ซินเซีย มุกดา : โอ้โห้ ตัวใหญ่มากเลยค่ะ


มุกดา : ครูแทนตรงนี้ก็มีพี่เต่าทอง


ซินเซีย: ครูแทนตรงนี้ก็มีพี่เต่าทอง เยอะไปหมดเลย


.........ครูแทนและเด็ก ๆ ยิ้มด้วยความดีใจ.......


มุกดา: ดีจังเลยค่ะครูแทน เดี๋ยวนี้เราไม่ต้องง้อให้พี่เต่าทองมาหาเราแล้ว


ซินเซีย : ใช่ เมื่อก่อนน่ะ ต้องไปจับมาปล่อยตรงพี่ดอกไม้ เดี๋ยวนี้นะไม่ได้เชิญมา ก็ยังมา (หัวเราะ)


...........เด็ก ๆ และครูแทน พากันหัวเราะ เพราะเดี่ยวนี้สวนกาละพัฒน์ ไม่ต้องง้อพี่เต่าทองแล้ว............

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สร้างชุมชน


ตอนเย็นทุกวันพุธหลังเลิกกิจกรรมในชั้นเรียน ทางผู้ปกครองจะร่วมกลุ่มมาจัดกิจกรรมให้ทุกคนได้มาเล่นและทำงานร่วมกัน
เช่น เล่นดนตรี กีฬา ทำอาหารและทำงานประดิษฐ์ โดยมีกลุ่มผู้ปกครองเป็นผู้จัด ส่วนนักเรียนและคุณครูเป็นผู้เข้าร่วมเรียนรู้ในกิจกรรมนั้นๆ

เมื่อวานคุณแม่ซันซันและซินเซีย คุณแม่ต้นไม้ คุณแม่ข้าวปั้นพาคุณครู นักเรียนและผู้ปกครองคนอื่นๆ ประดิษฐ์ของเล่นจรวดจากขวดน้ำ ซึ่งทีมผู้จัดได้วางแผนการทำงาน โดยประชาสัมพันธ์รับบริจาคขวดน้ำ จากนั้นก็แบ่งบทบาทหน้าที่ พร้อมทั้งเตรียมอุปกรณ์มาใช้สำหรับทำกิจกรรมด้วย พอถึงเวลาทุกคนก็ได้ลงมือทำของเล่นจรวดจากขวดน้ำและนำไปเล่นด้วยกัน ระหว่างเด็กกับเด็ก ครูกับเด็ก ผู้ปกครองกับเด็ก ผู้ปกครองกับผู้ปกครอง ทุกคนต่างได้เล่นด้วยกัน

ซึ่งเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครอง ครูและเด็ก ทำให้เกิดบรรยากาศที่ดีต่อการเรียนรู้ภายใน ทั้งยังเป็นแบบอย่างของสังคมแห่งการเกื้อกูลดูแลกันและร่วมเรียนรู้ไปด้วยกัน

ก้อนหินช่วยมด


ตอนเช้าหลังจากเข้าแถวเคารพธงชาติ คุณครูจะพาเด็กๆ เดินสำรวจและชมธรรมชาติรอบๆ บริเวณโรงเรียน
เพื่อให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและกระตุ้นพลังชีวิต วันนี้คุณครูเอกได้ปล่อยน้ำลงไปในแปลงนา
ซึ่งมีสัตว์อาศัยอยู่ในนั้น เช่น ปลาดุก หอย มด แมลงและสัตว์อื่นๆ อีกมากมาย
พอมีน้ำลงไปสัตว์ทุกตัวต่างพยายามดิ้นรนให้ชีวิตตนเองรอด ขณะเดินสำรวจ พี่บอสนักเรียนชั้นอนุบาล ๒
สังเกตเห็นมดพยายามจะหนีน้ำที่ไหลลงมา จึงคิดหาวิธีที่จะช่วยชีวิตมดเหล่านั้น แต่ยังคิดไม่ออก
จึงเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาร่างกายและสุนทรียะก่อน เมื่อสิ้นสุดกิจกรรมคุณครูนิกพาเด็กๆ เดินกลับห้อง ระหว่างทางพี่บอสพบก้อนหินจำนวน ๒ ก้อน จึงเก็บก้อนหินติดมือมาด้วย พอเจอคุณครูแจ๋วพี่บอสก็เอยว่า

พี่บอส:คุณครูแจ๋วครับบอสฝากก้อนหินไว้กับคุณครูแจ๋วด้วยครับ
ครูแจ๋ว:ทำไมครับ
พี่บอส:เมื่อเช้ามีมดถูกน้ำท่วม บอสจะเอาก้อนหินไปทำสะพานให้มดหนีน้ำท่วมครับ
ครูแจ๋ว:ดีจังเลยมดเหล่านั้นจะมีคนใจดีมาช่วยชีวิตแล้ว ครูแจ๋วจะเก็บก้อนหินไว้ให้นะค่ะ ขอบคุณพี่บอสมากค่ะ

สิ่งเล็กๆที่มีพลังยิ่งใหญ่ คือจิตใจแห่งการให้และหวังดี

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ความรู้สึกจากใจ


พี่ออสการ์นักเรียนชั้นอนุบาล ๒ นั่งรอเก็บถาดอาหารของตนเอง เพื่อนำไปล้างหลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อย ช่วงขณะที่รอคุณครูจึงเข้าไปพูดคุยด้วย พี่ออสการ์จึงเอยถามว่า

ออสการ์:คุณครูแจ๋วเคยเข้าโรงเรียนไหมครับ
ครูแจ๋ว:เคยค่ะแต่โรงเรียนครูแจ๋วอยู่ที่บ้านนอก มีทุ่งนา วัว ควายและป่าไม้เยอะมากค่ะ
แล้วออสการ์ล่ะคะเคยเข้าโรงเรียนไหมค่ะ
ออสการ์:เคยเข้าครับ ที่โรงเรียนเก่าให้เด็กดูการ์ตูนตลอดเลย ครูก็ใจร้ายและตีเด็ก
ครูแจ๋ว:ทำไมครูใจร้ายและตีเด็กคะ
ออสการ์:เพราะเด็กดื้อ ไม่ฟังครู ไม่ทำตามที่ครูสั่ง
ครูแจ๋ว:ออสการ์เคยถูกตีไหมคะ
ออสการ์:เคยครับ เพราะตอนนั้นออสการ์ดื้อและไม่ฟังครู
ครูแจ๋ว:แต่โรงเรียนเก่าเปิดการ์ตูนให้เด็กๆดูไม่ชอบเหรอคะ
ออสการ์:ไม่ชอบครับ เพราะออสการ์ชอบเล่นทรายและเล่นกับเพื่อนมากกว่า
ครูแจ๋ว:ที่โรงเรียนกาละพัฒน์ออสการ์ชอบอะไรที่สุดคะ
ออสการ์:ชอบสนามเด็กเล่น ทราย เพื่อน คุณครู อาหารและชอบทุกอย่างเลยครับ
ครูแจ๋ว:อะไรที่ไม่ชอบล่ะคะ
ออสการ์:ไม่มีเลยครับ ออสการ์ชอบทุกอย่างเลยครับ

บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่เกื้อหนุนให้เมล็ดพันธุ์ที่ดีในจิตได้เติบโต ด้วยการให้ความรักและความเมตตาเสมอ ซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อความมั่นคงทางจิตใจของเด็ก อีกทั้งความรู้สึกปลอดภัยไม่ได้ถูกคุกคาม
จะกระตุ้นการเรียนรู้และแรงจูงใจเชิงบวกได้อย่างดี

ธรรมชาติ....ธรรมดา


หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑
ก็เดินสำรวจธรรมชาติจากโรงอาหารไปยังห้องเรียน

วันนี้เด็กสามคนได้หยุดยืน แล้วมองบริเวณทางเดิน ดูมด แมลงที่เดินเล่นอยู่บริเวณนั้น
ทั้งสามนั่งเฝ้าและสังเกตพฤติกรรมที่แสดงออกของสัตว์แต่ละชนิด บางก็เดินเซไปมา บางก็เดินชนกัน
ขณะนั่งดูก็ชอบใจในพฤติกรรมที่แสดงออกของสัตว์ จนส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความพอใจ
คุณครูเห็นเด็กนั่งจึงเข้าไปร่วมสังเกตด้วย
คุณครู:มดเหล่านี้จะเดินทางไปไหนคะ
เด็กๆ:ไปบ้านของมัน ไปหากิน ไปเที่ยว
คุณครู:วันนั้นครูแจ๋วไปที่สนามบินเพื่อรับคุณครูใหญ่วิเชียรมาที่โรงเรียน ขณะที่ยืนรอรับก็เห็นชาวต่างประเทศมาภูเก็ตเยอะมาก
ทุกคนต่างหารถเพื่อเดินทางต่อไป สามีภรรยาคู่หนึงก็มีรถแท็กซีมารับออกจากสนามบินไป เมื่อครูใหญ่มาถึงพวกเราจึงขับรถออกจากสนามบินมา ระหว่างทางก็เห็นรถจอดเต็ม ทั้งรถตำรวจและรถหน่วยกู้ชีพ จึงขับมาอย่างช้าๆ จนเห็นว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น รถแท็กซี ๒ คันชนกัน สภาพรถพังทั้งคน ตรงบริเวณเบาะหลังมีสามีภรรยาชาวต่างประเทศที่พึ่งนั่งแทกซี่ออกจากสนามบินมา บัดนี้พวกเขาได้กลายเป็นศพแล้ว พวกเราในรถจึงถามกันว่า "พวกเขามาที่ภูเก็ตเพื่ออะไร แล้วได้ทำสิ่งนั้นหรือยัง"
เด็กๆ:พวกเขาอาจมาเที่ยวในช่วงวันหยุด อาจมาทำงาน อาจมาพักที่บ้าน
คุณครู:เกิดอะไรขึ้นคะ
เด็กๆ:พวกเขาตาย เกิด แก่ เจ็บ ตายค่ะคุณครู
คุณครู:เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นอย่างไรคะ

เด็กๆ เดินไปที่ต้นประดู่แล้วชี้ใบเล็กที่กำลังงอกออกจากกิ่งแล้วพูดว่า"เกิดค่ะ"
ต่อมาก็ชี้ไปที่เหลืองมากๆ แล้วบอก"แก่" ใบที่มีรอยขาดหรือจุดด่างดำ "เจ็บ"
ส่วนใบที่ร่วงหล่นอยู่ที่พื้นดินแล้ว "ตาย"

เด็กๆ สามารถเปรียบเทียบความเป็นไปของธรรมชาติด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ขอบคุณ

นักเรียนชั้นอนุบาล ๑ เดินต่อแถวรถไฟมาที่โรงอาหาร โดยมีป้าแป๋ว(แม่ครัว)คอยจัดเตรียมอาหารไว้รอเด็กๆ
ขบวนรถไฟค่อยๆ เคลื่อนจากอาคารเรียนมาเรื่อยๆ จนมาถึงโรงอาหาร
ขณะเคลื่อนขบวนรถไฟมา เด็กๆ ช่วยกันร้องเพลงแจวเรือ ซึ่งในเพลงจะต้องเชิญแต่ละคนขึ้นมาแจว
พอมองเห็นป้าแป๋ว เด็กๆ ก็บอกว่า
...แจวเรือไปซื้อแก้ว(๒ รอบ)...ขอเชิญป้าแป๋วลุกขึ้นมาแจว

หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันนั่งที่โต๊ะอาหาร โดยมีคุณครูตาลเป็นผู้ดูแล
ครูตาล:ขอบคุณน้องเนย ขอบคุณน้องกอข้าว ขอบคุณน้องณัฎ ขอบคุณน้องซานจู

ขณะที่ครูตาลกำลังกล่าวชมเด็กๆ แต่ละคนอยู่นั้น เสียงก็เริ่มเงียบลง
ครูตาล:ขอบคุณเด็กๆ ที่น่ารักทุกคนค่ะ วันนี้น้องแจ็คๆ จะเป็นนำกล่าวขอบคุณข้าว เชิญน้องแจ็คๆ ค่ะ
น้องแจ็ค:ทุกคนพร้อม
ทุกคน:ข้าวเอ๋ยข้าวสุก ต้องกินทุกบ้านทุกฐานถิ่น
กว่าจะมาเป็นข้าวให้เรากิน ชาวนาสิ้นกำลังเกือบทั้งปี
ต้องทนแดดทนฝนทนลมหนาว กว่าจะได้ข้าวจากนามาถึงนี่
คนกินข้าวควรคิดดูให้ดี ว่าผู้มีคุณแก่เราคือชาวนา
ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง
อย่ากินทิ้งขว้าง เป็นของมีค่า
ผู้คนอดอยาก มีมากหนักหนา
สงสารบรรดา เด็กไม่มีกิน
ขอบคุณพ่อแม่ที่ให้กำเนิดเรามา
ขอบคุณโลกที่ได้ให้เราอาศัยอยู่
ขอบคุณทุกคนที่ให้หนูได้รับประทานอาหารในมื้อนี้
หนูจะรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
ขอบคุณครับ/ค่ะ
ครูตาล:เชิญเด็กดีรับประทานค่ะ
เด็กๆ:ขอบคุณค่ะ แจ็คๆ คุณครูตาล คุณครูภา คุณป้าแป๋วและคุณป้าสาว

หลังจากนั้นก็ลงมือรับประทานอาหารที่ป้าแป๋วได้จัดเตรียมไว้ให้ทุกคน พอได้ลิ้มรสอาหาร ก็บอกป้าแป๋วว่า
เด็กๆ:คุณป้าแป๋วอร่อยมากค่ะ

แล้วทุกคนก็รับประทานอย่างเอร็ดอร่อย

ทำไมทุกคนต้องกล่าวขอบคุณข้าว เพื่อน คุณครูและแม่ครัว

เพราะขณะเด็กกล่าวคำขอบคุณจะรู้สึกปิติ เกิดคุณค่าในตนเองและมองเห็นคุณค่าของสิ่งนั้น

ดอกเอย....ดอกไม้

ณ บริเวณหน้าห้องเรียน คุณครูและเด็กๆ ได้ช่วยกันปลูกต้นไม้และดอกไม้หลากหลายชนิด
เช่น บานบุรี ชวนชม ตะไคร่ อัญชัน
เพื่อเป็นร่มเงาและจัดบรรยากาศให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด
โดยเฉพาะต้นอัญชัน พอเริ่มเติบโต ก็จะหาที่ยึดเพื่อเลื่อยจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง จนเติบโตเต็มที่
ก็ให้ดอกสีน้ำเงินม่วงบานสพรั่งเต็มต้น เด็กๆ เฝ้าสังเกตและรอคอยการเติบโตของดอกอัญชันแต่ละดอก
เด็กๆ บางคนเดินผ่าน แล้วเด็ดออกมากินสดๆ เสมือนขนมแสนอร่อย
เด็กๆ บางกลุ่ม ก็นำไปแปรรูปเป็น ดอกอัญชันชุบแป้งทอดหรือต้มทำน้ำอัญชัน

เมื่อวันจันทร์ ที่ ๒๑ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๔

หลังจากรับประทานอาหารว่างเช้า พี่ปลื้มและพี่ลันตา นักเรียนชั้นอนุบาล ๒ ช่วยกันเก็บดอกอัญชัน ประมาณ ๒๐ ดอก
ใส่อุ้งมือทั้งสอง แล้วเดินมาหาให้คุณครู พร้อมเอยว่า
เด็กๆ:คุณครูแจ๋วค่ะ อยากทำดอกอัญชันทอดกรอบค่ะ
ครูแจ๋ว:เรามีกระทะและน้ำมันพืชไหมคะ
เด็กๆ:ไม่มีค่ะ
ครูแจ๋ว:จะทำอย่างไรกับดอกอัญชันที่เด็กๆ เก็บมาคะ
เด็กๆ:ไม่มีน้ำมันพืช แต่เรามีน้ำและกระทะ นำมาต้มได้ค่ะ
ครูแจ๋ว:กระทะไฟฟ้าอยู่ที่ไหนคะ
เด็กๆ:อยู่ห้องน้องอนุบาล ๑

เมื่อรู้ว่ากระทะไฟฟ้าอยู่ที่ห้องอนุบาล ๑ เด็กๆ ไม่รอช้ารีบวิ่งไปขอกระทะไฟฟ้า
จากนั้นก็ตั้งกระทะต้มน้ำจนเดือด แล้วนำดอกอัญชันใส่ลงไปในหม้อ เฝ้าสังเกตการเปลี่ยนสีจากสีขาวกลายสีน้ำเงินม่วง
ในทุกขั้นตอนเด็กๆ เฝ้ารอด้วยใจจดจ่อ เมื่อได้น้ำอัญชันแล้ว ก็นำไปรับประทานกับข้าว โดยตักน้ำราดลงไปในข้าว จากสีข้าวธรรมดาก็เปลี่ยนเป็นข้าวสีน้ำเงินม่วง

เหตุการณ์นี้เป็น กระบวนการเรียนรู้จากธรรมชาติ ด้วยการลงมือปฏิบัติจริง จนเกิดความรู้และความเข้าใจอย่างแท้จริง

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ทำไมต้องมีวันหยุด

วันศุกร์ ที่ ๑๘ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๔
ในตอนเย็นของวันนั้น เด็กๆ คุณครูและผู้ปกครองชวนกันมาขีดเขียนหรือวาดภาพ
พร้อมทั้งระบายสีตามพื้นทางเดิน เช่น รอยเท้าซ้าย-ขวาสลับกันไป ตารางสี เกมความน่าจะเป็น ตารางตัวเลข เป็นต้น
ซึ่งกิจกรรมนี้จะช่วยกระตุ้นการคิด ค้นหาวิธีเล่น กระโดด และการเคลื่อนไหวร่างกาย
ซึ่งทุกคนช่วยกันทำด้วยความตั้งใจ ช่วยผสมสี วาด ขีดเขียน ระบายสี หรือบริการส่งสีจากจุดผสมไปยังที่วาดระบายสี
เริ่มทำงานตั้งแต่เวลา ๑๕.๐๐ น.จนถึงเวลา ๑๗.๐๐ น. พอทำทุกอย่างเสร็จสิ้น พี่แอนนี่นักเรียนชั้นอนุบาล ๓ ก็เดินสำรวจตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงจุดสิ้นสุด จากนั้นก็เดินเวียนอีกรอบ แล้วมายืนเกาะรั้วแล้วมองไปที่ขุมน้ำนานพอสมควร
คุณครูเห็นพี่แอนนี่ยืนคนเดียวจึงเดินเข้าไปทัก
คุณครู:ทำอะไรคะ
พี่แอนนี่:ดูต้นมันเทศ ครูแจ๋วเคยกินไหมคะ
คุณครู:เคยกินค่ะ ทำไมพี่แอนนี่รู้จักต้นมันเทศล่ะคะ
พี่แอนนี่:คุณครูแทนเคยพาพวกหนูมาขุดแล้วเอาไปเผากินค่ะ

พอพูดจบก็ยืนเงียบสักพัก แล้วก็เอยขึ้นว่า
พี่แอนนี่:คุณครูแจ๋ว ทำไมต้องมีวันหยุด หนูอยากมาโรงเรียนทุกวันเลย จะได้เล่นกับเพื่อนๆและได้พบคุณครูด้วยค่ะ
แล้วพี่แอนนี่ก็หันมายิ้มให้คุณครู ส่วนคุณครูก็ส่งยิ้มให้ จากนั้นทั้งสองก็จับมือกันยืนมองสายน้ำ ทุ่งหญ้าและต้นไม้ต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

พบ ผอ.


หลังรับประทานอาหารว่างเช้า เป็นช่วงพัฒนาการคิดและจินตนาการ ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งในกิจกรรมสี่หลักของนักเรียนชั้นอนุบาล เช่น กิจกรรมพัฒนาร่างกายและสุนทรียะ, กิจกรรมจิตศึกษา,กิจกรรมพัฒนาสติปัญญา ,กิจกรรมพัฒนาการคิดและจินตนาการ โดยให้เด็กๆ ได้เล่นอิสระตามจินตนาการที่บริเวณสนามเด็กเล่นและมีอุปกรณ์ต่างๆ ให้ใช้ประกอบการเล่น

วันหนึ่งขณะที่พี่ลันตา นักเรียนชั้นอนุบาล ๒ กำลังเล่นกะลา ใบที่มันแตกอยู่แล้ว มันจึงขูดที่นิ้วทำให้ถลอกเล็กน้อย
พี่ลันตาจึงเดินไปหาคุณครูแล้วบอกว่า
พี่ลันตา:หนูจะไปหาครูแจ๋ว

แล้วพี่ลันตาก็เดินมาหาคุณครูแจ๋วที่ห้องทำงาน ก่อนจะถึงห้องทำงานของครูแจ๋วจะต้องผ่านโรงอาหารก่อน ตอนนั้นป้าแป๋วและป้าสาวกำลังเตรียมอาหารกลางวันไว้ให้เด็กๆ พอเห็นพี่ลันตาเดินมา ป้าทั้งสองจึงร้องถาม
ป้าแป๋ว: พี่ลันตาจะไหนคะ
พี่ลันตา: ไปหา ผอ(ซึ่งไม่เคยมีใครเรียก ส่วนใหญ่ทุกคนจะเรียกว่า"ครูแจ๋ว")
ป้าสาว: มีอะไรคะ บอกป้าก่อนได้ไหม
พี่ลันตา: หนูจะไปหา ผอ

จากนั้นพี่ลันตาก็ไม่รอช้า รีบเดินขึ้นมาหาอย่างรวดเร็ว พอเห็นหน้า
พี่ลันตา: หนูคิดถึงครูแจ๋วค่ะ
ครูแจ๋ว: ครูแจ๋วก็คิดถึงหนูค่ะ มีอะไรให้ครูแจ๋วช่วยไหมค่ะ
พี่ลันตา: นิ้วหนูถลอก ครูแจ๋วช่วยทำแผลให้หนูหน่อยค่ะ

แล้วสองคนก็ช่วยกันทำความสะอาดและปฐมพยาบาลเบื้องต้น
จากเหตุการณ์ครั้งนี้พี่ลันตาได้เรียนรู้ ได้เผชิญและแก้ปัญหา ด้วยประสบการณ์จริง

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ทำไมป้าไม่ทำงาน

ป้าแป๋วเป็นแม่ครัวที่ำทำอาหารให้เด็กๆ คุณครูและพนักงานทุกคนของโรงเรียนกาละพัฒน์ได้รับประทาน

ในทุกวัน คุณครูก็จะพาเด็กๆ มารับประทานอาหารที่อาคารเอนกประสงค์ โดยมีคุณป้าแป๋วและคุณป้าสาวคอยบริการอาหารให้เด็กๆ

วันหนึ่งขณะรับประทานอาหารกลางวัน น้องภูเก็จ นัักเรียนชั้นอนุบาล ๑ จะเติมอาหารเพิ่มจึงยกถาดอาหารมาบริเวณเติมอาหาร
แต่ป้าแป๋วและป้าสาวไม่ได้อยู่บริเวณนั้น เพราะป้าสาวไปทำความสะอาดห้องเรียน ส่วนป้าแป๋วเข้าไปเตรียมอาหารว่างบ่ายในครัว
คุณครูจึงลุกขึ้นไปช่วยเหลือ น้องภูเก็จมองหน้าด้วยความสงสัย พอป้าแป๋วทำทุกอย่างเสร็จจึงเดินออกมา

น้องภูเก็จ : ป้าสาวไปไหนครับ
ป้าแป๋ว : ป้าสาวไปทำงานค่ะ
น้องภูเก็จ : แล้วทำไมป้าแป๋วไม่ทำงาน
ป้าแป๋ว : (ยิ้ม)ป้าแป๋วไปทำงานในครัว ไม่ได้ทำงานตรงนี้ครับ
น้องภูเก็จ : (ยิ้ม)เหรอ

จากนั้นน้องภูเก็จก็นำถาดอาหารไปล้าง ด้วยรอยยิ้ม ส่วนป้าแป๋วก็ยืนมองดูด้วยความเอ็นดูในความช่างคิดช่างถาม

เทียนทอด


ทำไมเทียนถึงหมดเมื่อทอดไปนานๆ

เด็กอนุบาล ๑ เรียนรู้เกี่ยวกับที่มาของเล่นและของใช้ ทั้งจากธรรมชาติและสังเคราะห์ขึ้นมา วันหนึ่งคุณครูให้ทุกคนนำเทียนมาคนละแท่ง จากนั้นก็ช่วยกันตัดให้มีขนาดเล็กลง แล้วนำเทียนที่ตัดเหล่านั้นใส่ลงในกระทะไฟฟ้า แล้วให้ทุกคนนั่งสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น ขณะที่นั่งสังเกตอยู่นั้น มีเสียงของเด็กๆ เอยออกมาว่า

เด็ก :คุณครูเรากำลังทอดเทียนใช่ไหมคะ
คุณครู:ค่ะ
เด็ก : วันนี้เราจะได้กินเทียนกรอบๆ เหมือนหมูทอด

ขณะนั่งสังเกตไปเรื่อยๆ ก็เห็นว่าเทียนในหม้อเหลือน้อยลง แต่น้ำเทียนเริ่มละลายเยอะขึ้น
เด็ก : คุณครูทำไมเทียนถึงหมดเมื่อทอดไปนานๆ แล้วจะเหลือเทียนกรอบๆ เหรอคะ
คุณครู :(ยิ้ม)ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นคะ

เด็กๆ ทุกคนนิ่งเงียบ เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของเทียนจากก้อนแข็งๆ กลายเป็นของเหลว แล้วก็กลับมาเป็นของแข็งอีกครั้ง
ซึ่งก็เกิดคำถามขึ้นมากมายระหว่างการทำกิจกรรมนี้ แต่คุณครูจะไม่ผลีผลามบอกความรู้เหล่านั้น
ตรงกันข้ามกลับใช้คำถามกระตุ้นให้เกิดความสงสัยใคร่รู้อยู่ตลอดเวลา